เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ก.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเรามันต้องมีการพลัดพราก ดูสิเวลาเราพลัดพรากโดยตัวเราเอง เราไม่รู้นะ เราพลัดพรากโดยเราเอง คนพลัดพรากโดยเราเองคือว่าชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาลมหายใจเข้าลมหายใจออก ถ้ามันไม่ถึงที่สุดมันต้องตายไป นี่คือการพลัดพราก

แต่ตอนที่มีชีวิตอยู่แล้วพลัดพราก เราจะอาลัยอาวรณ์กันมาก ถ้าไม่มีการพลัดพรากนะ เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ออกจากราชวังมานะ จะไม่ได้ตรัสรู้ธรรม จะไม่ได้ตรัสรู้ธรรมเพราะอะไร เพราะงานการมันเหลือล้นไง เป็นกษัตริย์ปกครองประชาชนมันรับภาระรับผิดชอบขนาดนั้นนะ เวลามันก็ต้องไปหมกมุ่นกับเรื่องอย่างนี้

นิวรณธรรมนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นิวรณธรรม เห็นไหม ครูบาอาจารย์เราถึงสำคัญมาก ดูสิ เวลาท่านเทศน์ เห็นไหม เหมือนกับมือเราจะไปจับของ ท่านตีมือออกไง หัวใจเราจะไปจับอารมณ์ จะไปเสวยอารมณ์ จะไปความคิดต่างๆ จะไปเสวยทุกข์ เหมือนเด็กเลย มันเอามือไปจับไฟ เห็นไหม พ่อแม่เลี้ยงลูกขึ้นมา ของร้อนเด็กไปจับ มันไม่รู้มันก็เล่นของมันประสาของมันนะ แต่พ่อแม่นี่ โอ้โฮ..เสียวมากๆ แต่ถ้าเราไม่ให้มันจับ ไม่ให้มันโดน มันก็ไม่รู้ว่าอะไรร้อนอะไรไม่ร้อนหรอก ก็ต้องให้เป็นประสบการณ์

การประพฤติปฏิบัติมันจะมีสภาวะแบบนั้น จิตมันจะเข้าไปสัมผัสสิ่งต่างๆ สัมผัสไปเหมือนเด็กเลย มันไม่รู้หรอกว่าร้อนหรือเย็น ถ้าเป็นความเย็นมันก็มีความสุขของมัน ถ้าเป็นความร้อน มันก็จะร้องไห้ของมัน ร้องไห้ของมันแล้วมันแก้ไขอย่างไร แต่มันจะเป็นความจำของมันว่าสิ่งนี้ร้อนนะ วันหลังมันจะกลัว มันจะไม่เข้าไปจับ นี่ตบมือเลยนะ นี่เพราะเด็กมันเข้าไปจับ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา จะถนอมการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม จะต้องให้มันสัปปายะ ให้มันสมควร สถานที่เป็นอันสมควร สิ่งต่างๆ เป็นอันสมควร สมควรนะ สมควร แล้วถ้าถึงที่เข้มข้นขึ้นมา ต้องเลยนะ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาทางโลกไง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ทำไมไม่อยู่กับสังคม? อยู่กับสังคมก็ได้ ทำไมต้องหลีกเร้น?

เวลาคิดขึ้นไปนะ มันก็เหมือนกับเรา เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราต้องเข้าโรงพยาบาล เห็นไหม ห้องผ่าตัดมันอยู่ที่โรงพยาบาลนะ มันไม่อยู่ที่บ้านเราหรอก ถ้ารักษาที่บ้านก็ได้สิ นี่ก็เหมือนกัน เวลาโรคของกิเลส มันต้องหาที่สงัด

ดูนะ คนถ้าอยู่ในสังคมนี่มันจะนอนใจ เวลาเข้าไปอยู่ในที่คับขัน เห็นไหม เข้าไปนี่ กลางคืนขึ้นมามันก็กลัวแล้ว กลัวความมืด กลัวสิ่งต่างๆ เห็นไหม ถ้ามีสัตว์เสือร้ายอีก มันจะกลัวมากเลย มันกลัวเรากลัวอย่างนั้น ความคิดมันจะแสดงตัวออกมา เห็นไหม นั่นนะโรคภัยไข้เจ็บ นั่นคือกิเลสไง

เวลามันไม่มีสิ่งใดกระทบกับมันนะ มันอยู่ของมันนะ มันจะนอนนะ สงวนรักษาของมัน มันจะว่าฉันนี่ว่าง ฉันนี่พอใจ ฉันนี่มีความสุข มันไม่เห็นกิเลสหรอก แต่พอมันไปอยู่ในที่อันตราย เห็นไหม เห็นสัตว์ เห็นเสือต่างๆ ขึ้นมา นี่ความกลัว ความระแวง ความตกใจ หัวใจมันจะสั่นไหว ความคิดฟุ้งซ่านมันคิดตลอดไปเลย ขนาดวิตกวิจารขึ้นมา ชีวิตนี้จะถึงที่สุดแล้วเหรอ เราจะต้องมาตายที่นี่แล้วเหรอ นี่มันวิตกวิจารได้ขนาดนั้น เวลากิเลสมันแสดงตัวออกมา

แต่ถ้ากิเลสไม่แสดงตัวออกมา เห็นไหม แล้วถ้ามันไปอยู่ที่สังคม มันไม่มีภัยอย่างนี้เข้ามา มันไม่มีสภาวะเข้ามากระตุ้นให้กิเลสมันแสดงตัวออกมา เห็นไหม ถึงว่าต้องเป็นอย่างนั้นเลย ถ้าถึงที่สุดแล้วต้องเข้าไปในสภาวะที่คับขัน ให้คับขันให้มันแสดงตัวออกมา ให้กิเลสมันแสดงตัวออกมา ให้มีการต่อสู้กัน การต่อสู้กันนะ

แล้วสิ่งนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่เกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในราชวังนะ มันจะมีความสุขขนาดไหน ดูสิ ขนาดไปไหนนะมีนางสนมกำนัลเต็มไปหมด จะทำอะไรก็ได้ จะไม่ต้องขยับอะไรเลย แต่ต้องใช้สมองบริหารจัดการนะ

สิ่งสภาวะแบบนั้น แล้วเวลาสละออกไป ออกจากราชวังไปเป็นนักบวช ๖ ปีนะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจนะในทางปัจจัยเครื่องอาศัย เพราะยังไม่มีศาสนา ยังไม่มีใครต่างๆ ก็ดูสิ ดูเวลานักบวชลัทธิต่างๆ เห็นไหม เขาออกไปทางโลก เขาก็อยู่ชีวิตของเขา อาศัยเขาไปอย่างนั้นไปเอง เพราะมันไม่มีใครศรัทธา

แต่ขณะที่แสวงหานั้น เวลาที่โคนต้นโพธิ์ เห็นไหม ความสุขเกิดขึ้นมาก่อน ความสุขเกิดขึ้นมาจากวิมุตติสุข เวลากิเลสขาดออกไป เสวยวิมุตติสุข เห็นไหม เหมือนกับเข้าสมาบัติ พวกฤๅษีชีไพรเข้าสมาบัติ เห็นไหม ๗ วันก็ได้ กี่วันก็ได้เข้าสมาบัติ เวลาเข้าสมาบัตินะ จิตสงบหมด พลังงานตัวนี้มันสงบนิ่ง ความเป็นไปของเซลล์ต่างๆ มันหยุดหมด

ดูสิ เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาเข้าสมาบัติอยู่ในกองฟาง เห็นไหม ที่ว่าอดีตชาติของนางสามาวดีไปผิงไฟ นี่จุดไฟเผานะ เผาสภาวะแบบนั้น เผาไม่ได้ เห็นไหม จิตนี้มีอำนาจมาก ขนาดที่ว่าเข้าสมาบัติไม่รู้เพราะมันดับหมด กำหนดเวลาออกเฉยๆ อีก ๗ วันออก เห็นไหม สิ่งนี้จะดับหมด อันนั้นเป็นสมาบัตินะ แต่วิมุตติสุขไม่เป็นอย่างนั้น วิมุตติสุขเพราะมันมีความรู้สึกอยู่

ว่าสมาบัติเข้าไปแล้วมัน.. สมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เห็นไหม เนวสัญญานาสัญญายตนะ เนวะคือว่าสัญญาทั้งหมด ความเป็นสัญญา เรื่องความรู้สึกต่างๆ เห็นไหม เวลาเราออกมา อารมณ์ความรู้สึกนี่มันเป็นเวทนา เนวสัญญา เวทนามันไม่มี จากความเวทนาความรู้สึกมันไม่มี มันดับหมด สิ่งที่ดับหมด อันนี้มันเข้าไปดับเฉยๆ มันสักแต่ว่ารู้

แต่ถ้าวิมุตติสุขมันรู้ตัวตลอดเวลาเพราะอะไร เพราะมันไม่มีกิเลสไง เสวยวิมุตติสุข เสวยอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น นี่สุขจากจิตที่มันปล่อยวางทั้งหมด สุขขนาดที่ว่าเราเข้าใจ ขนาดที่ว่าเหมือนเรากินอาหารเลย เรากินอาหารอะไรที่ถูกปาก อาหารที่มันมีรสชาติดีมาก เราจะจำอาหารรสนั้นได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญามันใคร่ครวญ เห็นไหม ปัญญาเหมือนรสของอาหารไง เพราะอะไร เพราะมันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา สิ่งนี้เป็นอนัตตา โลกนี้เขาเป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังมันก็แปรสภาพของมัน แต่เราไม่รู้ของมัน เราไม่เห็นสภาวะเป็นไปเพราะมันเป็นอนิจจัง

ดูสิ อย่างของที่เสื่อมสภาพ ทางวิชาการเขาว่าของที่เสื่อมสภาพมันเป็นสภาวะแบบนั้น มันเสื่อมสภาพไป ความเสื่อมทุกคนก็เสื่อมสภาพไป นี่เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง เห็นไหม แต่เราไม่เห็นความขณะที่มันเสื่อมสภาพ เราไม่เห็นความแปรปรวนของมัน อย่างเช่นเซลล์ เช่นต่างๆ ที่มันแปรสภาพของมันไปนะ มันแบ่งตัว มันแยกตัว ถ้ามีกล้องจุลทรรศน์ มันจะเห็นสภาวะแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นอนัตตา จิตมันจะเป็นอนัตตา ความเห็นของมันเป็นไป เวลาปัญญามันหมุนไปด้วยสัมมาสมาธิรองรับ รองรับเป็นพลังงานของใจ พลังงานของใจนี่เป็นพลังงานเฉยๆ พลังงานอย่างนี้มันยังไม่ได้เข้าไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นใช่ไหม พลังงานมันเป็นพลังงาน แต่พลังงานนี้ก็มีความสุขมากแล้ว เพราะจิตสงบขึ้นมา

แต่เวลาปัญญามันหมุนไป อนัตตาเกิดตรงนี้ เกิดตรงขณะที่เซลล์มันแบ่งตัว เกิดขณะที่มันเป็นไป เราเห็นความเป็นไปของมัน ร่างกายมันสลายไป ปัญญาที่มันเห็นความเป็นไปของจิต จิตนี้เข้าไปยึด เห็นไหม ขันธ์นี้มันแสดงตัวออก เห็นไหม จากสัญญา สัญญารับรู้ เวทนาแบ่งว่าดีหรือชั่ว สังขารปรุงแต่ง วิญญาณก็รับรู้ วิญญาณเป็นตัวสมาน เหมือนกับปูน มันมีน้ำมาสมานเข้าไป มันจะเทเป็นปูนอะไรก็ได้ ถ้าปูนไม่มีน้ำส่วนผสม หินทรายมันก็แยกออกจากกันต่างหาก

นี่วิญญาณรับรู้ วิญญาณรับรู้ก็เกิดเป็นรูป รูปคือความรู้สึก ความรู้สึกก็มีทุกข์มีสุขขึ้นไป เห็นไหม ปัญญามันเห็นการทำงานของมัน เห็นพลังงานไฟฟ้าที่มันเคลื่อนไป เห็นไหม พลังงานไฟฟ้าเวลามันเคลื่อนไป ระหว่างขั้วเวลามันสปาร์คกัน เวลาสันดาปกัน มันเจอสภาวะอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าปัญญามันเห็นสภาวะแบบนั้น นี่อาหารมื้อหนึ่งๆ ไง กินอาหารมื้อหนึ่งมันจะติดอกติดใจมาก จะมีความสุขมาก เหมือนอาหารที่คำข้าว แต่อาหารของใจ เห็นไหม อาหารจากวิปัสสนามันเกิดขึ้นมา มันเห็นความเป็นไปของจิต จิตมันมีความเป็นไป มันหมุนเวียนของมันไป

นี่สภาวะแบบนี้ นี่มันเห็น นี่อาหารของใจ อาหารของใจไปเรื่อย มันจะไม่ใช่วิมุตติสุขไง มันเป็นระหว่าง เห็นไหม อัตตากับอนัตตา เป็นระหว่างที่จิตก้าวเดิน ถ้าจิตเป็นอัตตาคือความรู้ของเรา เรามีความรู้อย่างไร เรามีความเห็นอย่างไร เราก็เป็นความเห็นของเรา นี่เป็นอัตตา อัตตาเพราะว่ามันยึด กิเลสนี่มันมีความยึดมั่นถือมั่นของมัน จะรู้มากรู้น้อยมันก็ยึดของมันว่าจะเป็นอย่างนี้ๆ

เวลาเราใช้ปัญญาขึ้นไป เหมือนอาหารนี่ เราเคยกินอาหารอย่างนี้ว่ารสชาติดีแล้ว เราไปเจออาหารร้านใหม่ กินอาหารร้านใหม่ อาหารร้านใหม่อร่อยกว่าร้านนั้นอีกๆๆ เห็นไหม มันจะอร่อยขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะซาบซึ้งใจไปเรื่อย

วิปัสสนาก็เหมือนกัน เราหมั่นคราดหมั่นไถ หมั่นใช้ปัญญาไปเรื่อยๆ เวลาใช้ปัญญาไปเรื่อยๆ มันก็วิปัสสนาไป มันก็ปล่อยวางไป การปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหม มันก็ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป เห็นไหม ทั้งๆ ที่ว่าโอ้โฮ..อันนี้อร่อย อันนี้ว่างมาก อันนี้ดีมาก แต่พอมันเรื่อยเข้าไป อันนั้นหยาบ อันนั้นหยาบ อันนี้ลึกกว่า อันนี้ดีกว่า อันนั้นลึกกว่า อันนี้ดีกว่า มันจะลึกเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

แต่ขณะที่ความยึดมั่นถือมั่นของกิเลส เห็นไหม เวลามันไปรู้อะไร มันติดอะไร มันก็ว่าสิ่งนี้ใช่แล้ว ติด โอ้โฮ..ว่างมาก ดีมาก มันเป็นของเรา นี่ธรรมต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมต้องเป็นอย่างนี้ นี่ติดๆ อย่างนี้ตลอดไปแล้วไม่ก้าวเดินไง

นี่มีครูบาอาจารย์ แม้แต่ว่าไปจับของร้อน ท่านก็ตีมือนะ อย่าไปจับนะ ไอ้นี่มันร้อนนะ มือพองนะ อันนี้เป็นความทุกข์นะ เราก็ว่าเป็นความสุขเพราะอะไร เพราะมันเป็นกระแสโลก มันเป็นวิญญาณโลกที่มันรับรู้อย่างนี้ มันก็พอใจของมัน

เวลาวิปัสสนาเข้าไป เห็นไหม เวลาเราใช้ปัญญาใคร่ครวญไปแล้ว เราก็ว่าอันนี้เป็นธรรมนะ อันนี้เป็นธรรมนะ ทั้งๆ ที่มันยังไม่เป็นธรรม เห็นไหม มันเป็นระหว่างการก้าวเดิน ยังไม่ถึงเป้าหมาย เห็นไหม เวลาไปถึงเป้าหมาย เป้าหมายอันนั้นถึงจะเป็นเป้าหมายของเรา

ถ้าเป็นเป้าหมายขึ้นไป เวลามันปล่อยวางขนาดไหน ถ้าเป้าหมาย เราเข้าเป้าหมายไม่สนิท ขณะที่เราเข้าเป้าหมายสนิทก็คลายตัวออกมา เห็นไหม ในเมื่อเชื้อมันยังมีอยู่ มันเป็นตทังคปหาน มันเป็นการปล่อยวางชั่วคราว เหมือนกับโรคนี่ เรารักษาโรคแต่โรคนี้ยังไม่หายขาด แล้วเราไม่รักษาตลอดไป เดี๋ยวโรคมันก็กลับขึ้นมา แล้วมันดื้อยาด้วย การดื้อยาเห็นไหม

แม้แต่ทำสมาธิก็เหมือนกัน เวลาจิตมันเสื่อม เสื่อมอย่างไร เวลาจิตมันเสื่อม สมาธิจิตมันเสื่อมเพราะอะไร เพราะเราประมาทเลินเล่อ เราไม่รู้จักรักษา เงินทอง เห็นไหม เขายังต้องรู้จักรักษา คนที่สุรุ่ยสุร่ายจะรักษาเงินทองไม่ได้ คนไม่มีสติสตัง คนไม่มีคำบริกรรม คนไม่มีสติรักษา จะรักษาสมาธิของตัวเองไว้ไม่ได้

ถ้ารักษาสมาธิของตัวเองไว้ได้ ชำนาญในวสี เห็นไหม ต้องสมาธิแน่วแน่ ต้องมีพลังงานที่คงที่ พลังงานที่คงที่เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น แล้ววิปัสสนาไปได้ แต่พลังงานขนาดไหน ใช้มันก็หมดไป เห็นไหม นี่ต้องรักษา

การวิปัสสนาก็เหมือนกัน ในเมื่อเราวิปัสสนาไป มันปล่อยวางไป กินอาหารเข้าไปแล้ว ต้องกินแล้วกินเล่า กินแล้วกินเล่าจนกว่า.. นี่อิ่มท้องเดี๋ยวมันก็หิวอีก เพราะมันเป็นตทังคะ มันเป็นของชั่วคราว มันเป็นการดับชั่วคราว มันไม่ได้ดับแบบสมุจเฉทฯ คือดับแบบสิ้นกิเลส

การดับสิ้นกิเลสมันถึงต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขนาดที่ว่ามันว่างขนาดไหน เรายังมีจับต้องได้ ยังมีเหตุผลอยู่ อย่างเช่นเสื้อผ้าที่ยังสกปรกอยู่ ถ้าเราซักมันออกไปแล้วก็ยังอยู่ แต่มันก็ยังมีความสกปรกอยู่ในเสื้อผ้านั้น ถ้าเราซักซ้ำซักซาก การซักคือการวิปัสสนา การซักจิต การฟอกจิต เห็นไหม เอาจิตแก้จิต เอาทุกข์แก้ทุกข์

ต้องเอาทุกข์แก้ทุกข์นะ เราจะมาเอาสุข ความสุขเกิดขึ้นนี่ ธรรมะนี่เป็นของสุขแน่นอน แต่ขณะที่ประพฤติปฏิบัติมันเป็นเรื่องของทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะทุกข์นี้เป็นสัจจะ เห็นไหม ดูสิ แม้แต่เรานั่งอยู่ปกติ ร่างกายก็ทำงานของมัน เวลาเราก้าวเดินไป เรานั่งอยู่นานๆ นะ เราก็เมื่อย เราก็ปวด เราก็ปวดเมื่อยประสาเรา เวลาก้าวเดินไป ร่างกายได้ใช้พลังงานของมัน มันก็มีเหงื่อมีไคลของมันตลอดไป

วิปัสสนาก็เหมือนกัน ในเมื่อการก้าวเดินนะ เป็นงานของใจนี่ ถ้าความสงบของจิตนี้มันเป็นเรื่องของความสงบ แต่ขณะที่เราก้าวเดินไปมันเป็นพลังงานของใจ มันต้องมีการกระทำของมัน มันจะเหนื่อยมันจะยากขนาดไหน มันก็เหนื่อยยากเพื่อเรา

โลกเขาทุกข์กันขนาดไหน เขายังพอทุกข์ เขายังพอทนนะ เพราะเขาเห็นสมบัติ เขาเห็นประโยชน์ของเขา เขายังทำของเขาได้ อันนี้มันเป็นความมหัศจรรย์ของศาสนานะ ถ้าเราเป็นชาวพุทธแล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ตอนที่เราเป็นชาวพุทธ เราไม่ตื่นเต้นขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเราชาวพุทธตามประเพณีไง ตามประเพณีมันก็เหมือนสายพานการผลิต เห็นไหม สายพานมันก็หมุนไปตามธรรมชาติของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เราก็ทำบุญไปตามประเพณีกันไป ประเพณีกันไป ทำกันสภาวะแบบนั้น นี่มันเป็นอนิจจัง คือว่ามันเป็นอามิส มันก็หมุนไปตามสายพานการผลิตที่มันหมุนเวียนไป วัฏฏะเป็นอย่างนี้นะ

แต่ถ้าเราวิปัสสนาเข้าไป มันจะทึ่งมาก ทึ่งว่าโอ๊ย..ศาสนาพุทธเรามันมหัศจรรย์ขนาดนี้นะ ไม่มีการอ้อนวอนพระเจ้า ไม่มีการต้องอ้อนวอนใคร แล้วไม่กลับไปอยู่สถานะฝ่ายใด มันไม่มีอะไรกลับไปอยู่สถานะเดิมได้ เพราะมันไปข้างหน้าตลอดเวลา

เพราะโลกนี้เป็นโลกอนิจจัง มันหมุนเวียนตลอดเวลา ไม่มีกลับสภาพ อดีตอนาคตไม่มีการจะมาซ้ำกัน ไม่มีการมาซ้ำที่เดิม เพียงแต่ว่าขณะที่มันมาซ้ำที่เก่า มันก็เป็นกรรมใหม่ไง กรรมใหม่คือการกระทำใหม่ตลอดไป ถ้าย้อนกลับมาปัจจุบันนี้ เห็นความเป็นไปของศาสนานะ จะทึ่งมาก จะทึ่งในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ว่ามรรคญาณมันมหัศจรรย์ขนาดนี้

แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เห็นไหม เราใช้ศาสนาถึงเข้ามาในหัวใจของเราเลย แม้แต่มันจะเกิดจะตายอยู่ก็เกิดตายในทางที่ดี เกิดตายในทางที่ดีนะ ยังเกิดอีกก็เกิดด้วยบุญกุศลพาเกิด บุญกุศลพาเกิดที่เราทำอยู่นี่เป็นบุญกุศลพาเกิดที่ว่าสายพานการผลิตนี่ เพราะสายพานการผลิตมันหมุนเวียนหมุนซ้ำหมุนซากไง นี่ก็หมุนเวียนหมุนซ้ำหมุนซาก เห็นไหม กรรมดีก็คือกรรมดี ให้ผลเป็นสิ่งที่ดี กรรมชั่วก็ให้ผลเป็นสิ่งที่ชั่ว ทำชั่วตลอดไปก็เวียนไป แต่เรามีสติสตังควบคุม สายพานการผลิตเราซ่อมมันดี เราทำให้มันดีมันก็จะดีขึ้นไป ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

ถ้าดีขึ้นไป จิตมันก็พัฒนา ดีขึ้นไปเหมือนอาหารที่มันอร่อยขึ้นมา อาหารที่มันมีคุณภาพประณีตขึ้นมา แล้วเราไปกินอาหารอย่างนั้น เราติดใจรสอาหารอย่างนั้น เราก็พยายามจะต้องทำให้ได้อย่างนั้น จิตมันก็พัฒนาให้สูงขึ้นๆ จิตที่มีบุญกุศลมันจะลอยขึ้นสูง มันเป็นของเบา เหมือนปุยนุ่นจะลอยสู่ที่สูง สิ่งที่เป็นหิน ก้อนหินเป็นความหนัก เห็นไหม แล้วจิตอาฆาตมาดร้าย จิตที่ทำลายกัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้จิตนี้ตกต่ำ ตกต่ำแล้วบุบสลายไหม ก็ไม่บุบสลาย ตกต่ำก็ไม่บุบสลาย ขึ้นสูงขนาดไหนก็ไม่บุบสลาย ตัวจิตนี้ไม่เคยตาย ตัวจิตนี้มีตลอดไป

ตกต่ำขนาดไหน พอมันหมดพลังงานการตกต่ำนั้นมันก็ต้องเบาขึ้นมา เหมือนกับตกนรกสุดอเวจี หมดอายุของมัน หมดกรรมของมันก็พัฒนาขึ้นมา มันก็ขึ้นมาอยู่ที่แบบว่าย้อนกลับขึ้นมา จนมาถึงเป็นเปรตเป็นผีขึ้นมา แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นอะไร นี่มันเวียนอยู่อย่างนี้ จิตนี้มันไม่เคยบุบสลาย เห็นไหม จะตกต่ำขนาดไหนมันก็ไม่เคยตาย จะขึ้นสูงขนาดไหนก็ไม่เคยตาย นี่ศาสนาพุทธสอนอย่างนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอย่างนี้ไง แล้วเราก็เวียนตายเวียนเกิดกันมามากมหาศาล

เรานั่งกันอยู่นี่ ดูสิ เราย้อนไปในประวัติศาสตร์ เห็นไหม ที่เขาพิสูจน์กันนั้นนะ กี่พันล้านปี กี่พันปีกี่ล้านปี เห็นไหม โลกนี้เขามีพิสูจน์ได้ด้วยฟอสซิล เขาพิสูจน์ได้ทั้งนั้นล่ะ แล้วเราจะมีวันนี้เหรอ? ชีวิตนี่มันมีอยู่ตลอดเวลา เหมือนพลังงาน มันแสดงตัวตลอดเวลา มันจะมีเฉพาะในปัจจุบันนี้เหรอ? มันก็ต้องมีสิ่งที่สะสมมาอย่างนี้ใช่ไหม? แล้วถ้ามันไม่มีการดับ มันไม่สามารถชำระกิเลสได้ มันจะไปข้างหน้าอีกไหม มันไปแน่นอน เห็นไหม ถ้ามันไปข้างหน้าอีก มันจะไปอย่างไร?

แต่ถ้ามันเป็นปัจจุบันนี้ เราใช้ปัญญาของเรา เพราะเราเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเจอศาสนาพุทธ เราเจอครูบาอาจารย์ของเรา มรรคญาณ! มรรคญาณ! มรรคญาณเกิดอย่างไร เห็นไหม เราจะซื้อพระไตรปิฎก เราจะซื้อมาถวายพระ นี่เป็นธรรมะ

ธรรมะอย่างนี้ ดูสิ โรงพิมพ์มันพิมพ์ออกมามหาศาลเลยนะ เป็นโกดังๆ เลยล่ะ แต่ถ้ามรรคญาณเกิดจากเรา ความรู้สึกอันนี้เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก อยู่ในใจของเราเกิดขึ้นมาแล้วมันชำระกิเลสของเราได้ เหมือนกับแม่น้ำมหาสมุทรมันก็อยู่ของมันอย่างนั้นล่ะ แต่ถ้าเราได้น้ำมาสักแก้วหนึ่ง แล้วเราดื่มเข้าไปในปากของเรา เราตกไปในท้องของเรา เราจะมีความสดชื่น

นี่ก็เหมือนกัน ศาสนา ศาสนธรรมนี่ กระแสเป็นไปขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา นี่เหมือนน้ำแก้วนั้น เราได้ดื่มน้ำแก้วนั้น เราได้ความสงบของใจเดี๋ยวนั้น เราได้สันทิฏฐิโกเดี๋ยวนั้น เราได้ปัญญาเดี๋ยวนั้น เราได้แก้กิเลสเดี๋ยวนั้น

ถึงกลับมาย้อนดูที่ใจของเรา อาหารคำข้าวเราก็แสวงหากันเพื่อดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ อาหารของใจ เห็นไหม อาหารของคฤหัสถ์ เราก็ทำบุญกุศลของเรา ถ้าปฏิบัติได้ก็สุดยอด อาหารของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้หล่อเลี้ยงชีวิตมา เลี้ยงมาเพื่ออะไรนะ

นี่วันนี้อาหารดีขนาดไหนก็แล้วแต่ พรุ่งนี้ไปบิณฑบาตมาดีกว่านี้อีก แล้วต่อไปจะดีกว่านี้อีก แล้วถ้าดีกว่านี้ แล้วอาหารอย่างนี้มันเพื่อหล่อเลี้ยงคำข้าว แล้วเราจะไปติดมันทำไม เราจะไปเห็นว่ามันไปสุดยอดขนาดไหน เราแค่ดำรงชีวิต เราแค่อาศัยมันไป เห็นไหม เพราะใจเราเหนือกว่า ใจเราเหนือกว่าสิ่งต่างๆ นะ ธรรมเหนือโลก ใจเหนือโลก ปัจจัยเครื่องอาศัย ฟังสิ! ปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่เป็นวัตถุก็อาศัยให้ร่างกายนี้ได้หล่อเลี้ยงชีวิตไป

แล้วถ้าศีล เห็นไหม ธรรม ศีล สมาธิ ก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของใจ มรรค เห็นไหม ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ มรรคญาณ เวลาปัญญามันหมุนไป นี่ก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยให้ใจมันย้อนกลับมาไง อาศัยกลับมาระหว่างก้าวเดิน ถึงที่สุดไม่ใช่อาศัย โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลไม่ใช่อาศัย เพราะเป็นอกุปปธรรม

อกุปปธรรมไม่แปรปรวนในสภาพของโลก ไม่แปรปรวนสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการแปรปรวนเลย คงที่ของมันตลอดไปเลย เห็นไหม จากที่ว่ามันเวียนตายเวียนเกิด คงที่ของมันไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดแล้วคงที่ๆ อย่างที่ว่าพระโสดาบันก็อีก ๗ ชาติ คงที่ๆ ไม่เสื่อมกว่านั้น แต่ก็ยังต้องหมุนไป ถึงที่สุดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคนต้นโพธิ์นั้น เห็นไหม ถึงที่สุดโคนต้นโพธิ์นั้น วิมุตติสุข

ความวิมุตติสุข สิ่งที่ว่าจะสูงจะต่ำก็ไม่บุบสลาย คงที่ตลอดไป แต่ถ้าทำถึงจบกระบวนการของมัน สิ่งที่ไม่บุบสลาย ไม่เคยตกต่ำก็อยู่ สูงส่งขนาดไหนก็อยู่ เวียนไปเวียนมากลับคงที่อยู่ของมันโดยนิพพาน นิพพานนะ แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ?

นิพพานที่เราพูดไปมันก็เหมือนกับเราไปห้างสรรพสินค้า เราเข้าไปมีชนชั้นนะ นี่ห้างนี้ ห้องนี้เป็นของที่มีราคา คนจนห้ามเข้า ทุกคนมีชนชั้น แต่ในเมื่อวิมุตติสุขนี่มีชนชั้นที่ไหน ในเมื่อมีชีวิต ในเมื่อมีหัวใจ ในเมื่อมีความรู้สึก ตัวนี้ต่างหากเป็นตัวสมบัติสาธารณะ เป็นสมบัติกลางที่ทุกคนมีสิทธิ์ ทุกคนมีหัวใจ ทุกคนมีความรู้สึก ทุกคนมีสุข ทุกคนมีทุกข์ แล้วทุกคนก็นิพพานได้ เอวัง